วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Learning Record 5
Monday 12  February 2018

knowledge 
        
                เริ่มต้นด้วย เพื่อนๆแต่ละกลุ่มนำเสนองานหน้าชั้นเรียน

กลุ่มที่ 1 เทคนิคการสอนแบบ Storyline


         storyline เป็นการนำสาระการเรียนรู้จากหลากหลายเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพื่อนจัดการเรื่องรู้ภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ เรื่องแต่ละตอนจะต่อเนื่องกันและมีลำดับเหตุการณ์และเส้นทางการเดินเรื่อง และใช้คำถามหลักเป็นการนำไปสู่การทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยการลงมือปฎิบัติ เน้นการคิด วิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม
ข้อดี
  • ผู้เรียนพัฒนาตนเอง สติปัญญา ความคิด การวิเคราะห์ สร้างสรรค์ แกไขปัญหา ตัดสินใจ สร้างความรู้ แสวงหาความรู้ การสื่อสาร การทำงานร่วมกัน 
  • การสื่อสาร
  • การคิดและลงมือปฏิบัติ ค้นพบ สืบสวน สร้างจินตนาการ แก้ปัญหา ตัดสินใจ รับผิดชอบ
  • Active Learning กระตือรืนร้น นำไปใช้จริง ลงมือศึกษา คิด ปฏิบัติ ท้าทายความสามารถ
  • ยอมรับคุณค่าของตนเองและผู้อื่น
ข้อจำกัด
  • หัวเรื่องที่สร้างขึ้นต้องเพียงพอที่จะสัมพันธ์เรื่องอื่นได้อย่างกว้างขวาง
  • ไม่ควรสอนหลายๆหัวเรื่องไปพร้อมกัน
  • ความร่วมมือ
  • กิจกรรมต้องมีความหมายกับผู้เรียน

กลุ่มที่ 2 การสอนแบบวอลดอร์ฟ
ในภาพอาจจะมี 1 คน, หน้าจอ และ สถานที่ในร่ม


               โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟเป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวกเน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
  • เป้าหมาย คือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ
  • เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
  • จะสอนตามพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวัย 0-7 ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วน
  • สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ "จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น
กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
           ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำแต่จะมีมุมต่างๆให้เด็กได้เรียนรู้ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็กเด็กจะมีพลังตื่นตัวและมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อมให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไปเด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุลโดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง(ความคิด)


กลุ่มที่ 3 การสอนแบบภาษาธรรมชาติ


               การสอนภาษาแบบธรรมชาติ  เกิดจากหลักการ และแนวคิด ของนักศึกษา นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean piaget ผู้เชื่อว่าการที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลทางสังคม และเชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและภาษามีความหมายต่อชีวิต การเรียนภาษาจึงต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกัน
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
  • การสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ การที่เด็กได้เรียนรู้ การใช้ภาษาทั้งด้านการ ฟัง พูด อ่าน เขียน เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีความหมายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย  โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน เขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง เช่นการอ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อน ฟังนิทานจากครู เป็นต้น
ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
  • เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้และร่วมมือจัดการเรียนการสอนระหว่างเด็กกับครู ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไร และใครรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ก เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมให้กับเด็ก
  • สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแบบภาษาในระดับปฐมวัย
  • โรงเรียนเกษมพิทยาได้ค้นพบว่า ปัจจุบันเด็กประถมวัยมีปัญหาการเรียนภาษา มีทัศนคติที่ไม่ดี เชื่อว่าเรียนภาษายาก เพราะการสอนเด็กด้วยระบบเก่าเน้นทักษะและเน้นไวยากรณ์ โดยการแจกลูกผสมคำ แต่เด็กกลับอ่านหนังสือไม่ออกในระดับประถมศึกษา ถึงแม้จะฝึกหนัก
  • การแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การเลือกใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย เพราะการพัฒนาการทางสมองจะมีการทำงานแบบองค์รวม





ทักษะ
  • ทักษะการฟัง
  • ทักษะการสรุปความรู้จากข้อมูล
  • ทักษะการนำเสนอ
การนำไปใช้ประโยชน์
  • สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการนำเสนอของเพื่อนๆ ไปปรับใช้ในการเรียนการสอน การออกแบบห้องเรียน


ประเมินตัวเอง
  • ตั้งใจฟัง มีส่วนร่วมในการนำเสนอมาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนดในคาบเรียน 
ประเมินเพื่อน
  • เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ  ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
ประเมินห้องเรียน
  • ห้องเรียนสะอาดกว้าง  บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น